เงินเฟ้อในมุมมองของคนปกติทั่วไปอาจเป็นแนวคิดที่เข้าใจยาก แต่ถ้าเคยคุณสังเกตุว่าขนมซอง 5 บาทที่เคยซื้อตอนเด็กๆ ทำไมตอนนี้ถึงได้น้อยลง หรือราคาบ้านปัจจุบันทำไมมันพุ่งสูงขึ้นจากหลักล้าน ปัจจุบันจะ 10 ล้านแล้ว ทั้งหมดนี้คือผลลัพท์ของเงินเฟ้อ ในบทความนี้จึงขออธิบายเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ว่าคืออะไร ? สาเหตุของเงินเฟ้อคืออะไร ? เราจะรับมือเงินเฟ้ออย่างไร ? และทำไมมันถึงต้องให้ความสำคัญในชีวิตประจำวัน? 

เงินเฟ้อ (Inflation) คืออะไร?

เงินเฟ้อ (Inflation) เป็นศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ที่แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อระดับราคาสูงขึ้น เราจะสามารถใช้เงินซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง กล่าวอีกนัยหนึ่ง “เงินมีมูลค่าน้อยลง” อัตราเงินเฟ้อสะท้อนถึงกำลังซื้อที่ลดลงต่อหน่วยเงิน ตัวชี้วัดหลักของเงินเฟ้อ คือ เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงต่อปีในดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Consumer Price Index)

3 ระดับของอัตราเงินเฟ้อ

โดยทั่วไป นักเศรษฐศาสตร์จำแนกอัตราเงินเฟ้อออกเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่เงินเฟ้ออย่างอ่อน เงินเฟ้ออย่างปานกลาง และเงินเฟ้ออย่างรุนแรง

เงินเฟ้ออย่างอ่อน

อัตราเงินเฟ้อระดับอ่อน คือเมื่ออัตราเงินเฟ้อประจำปีอยู่ในระดับต่ำหรือปานกลาง โดยทั่วไปคือ 5% หรือน้อยกว่า โดยปกติจะเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่ดี

  • ผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อเล็กน้อย
    อัตราเงินเฟ้อที่ไม่รุนแรงมักบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต ราคาเพิ่มขึ้นในระดับปานกลาง และธุรกิจอาจเห็นกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นค่าจ้างและการสร้างงาน
  • กลยุทธ์ทางการเงินสำหรับภาวะเงินเฟ้อเล็กน้อย
    ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อไม่รุนแรง วิธีการออมและการลงทุนแบบดั้งเดิม เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือพันธบัตรสามารถทำงานได้ดี

เงินเฟ้ออย่างปานกลาง

เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มเคลื่อนไหวระหว่าง 5% ถึง 20% ต่อปี เราอยู่ในขอบเขตของอัตราเงินเฟ้อปานกลาง โดยทั่วไปสามารถจัดการได้ แต่ต้องมีการตรวจสอบอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่หลุดออกจากการควบคุม

  • ผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อปานกลาง
    ด้วยอัตราเงินเฟ้อในระดับปานกลาง การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า บริการจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น และค่าครองชีพอาจเริ่มสูงขึ้นเร็วกว่าค่าจ้าง สถานการณ์นี้อาจบีบการเงินส่วนบุคคลและทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง
  • กลยุทธ์ทางการเงินสำหรับภาวะเงินเฟ้อปานกลาง
    เมื่อเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อในระดับปานกลาง คุณอาจต้องใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกมากขึ้น สินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนตามทันหรือสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ เช่น หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการปล่อยเงินไว้เฉยๆในบัญชีออมทรัพย์ เนื่องจากความเสี่ยงของการทิ้งเงินให้เฉยๆ เริ่มเทียบเท่ากับการลงทุนแบบอื่นๆ แล้ว

เงินเฟ้ออย่างรุนแรง

Hyperinflation คือ ระดับเงินเฟ้อที่รุนแรง ซึ่งราคาสินค้า บริการจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มักจะเกิน 50% ต่อเดือน สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและแม้กระทั่งการล่มสลาย

  • ผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
    ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมักทำให้เกิดหายนะต่อเศรษฐกิจ ราคาสินค้า บริการสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนสกุลเงินท้องถิ่นกลายเป็นไร้มูลค่า นำไปสู่ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและอาจเกิดความแตกแยกในระเบียบสังคม
  • กลยุทธ์ทางการเงินสำหรับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
    ในภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ให้มองหาสินทรัพย์ที่มีความแข็ง เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เงินสกุลอื่น ๆ หรือการลงทุนในตลาดต่างประเทศที่ใหญ่และมั่นคง

อัตราเงินเฟ้อของไทยปี 2566

ปี 2566

Q1

มี.ค.

ก.พ.

ม.ค.

อัตราเงินเฟ้อ (%)

3.9

2.8

3.8

5

อัตราแลกเปลี่ยน

33.92

34.5

34.01

33.23

มูลค่าการส่งออก (ล้านเหรียญ สรอ.)

69,806

27,079

22,375

20,352

อัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออก (%)

-4.6

-5.8

-4.1

-3.4

https://www.nesdc.go.th/ewt_news.php?nid=12567

สาเหตุของเงินเฟ้อ

  1. Demand-Pull Inflation: เกิดขึ้นเมื่ออุปสงค์สินค้าและบริการมีมากเกินอุปทาน (ความต้องการซื้อ มากกว่าปริมาณความต้องการเสนอขาย) ซึ่งเหตุการณ์นี้อาจเกิดจากปัจจัยใดก็ตามที่นำไปสู่การเพิ่มความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น หรือนโยบายการคลังที่เปลี่ยนไป เช่น การลดภาษี
  2. Cost-Push Inflation: เกิดขึ้นเมื่ออุปทานโดยรวมลดลง (ผลผลิตที่อาจเกิดขึ้นลดลง) ปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ เช่น ค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งเพิ่มต้นทุนของบริษัทและอาจส่งต่อไปยังผู้บริโภคในราคาที่สูงขึ้น หรือต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อยังสามารถได้รับอิทธิพลจากเงินเฟ้อแบบ Built-in ซึ่งแปลว่า เงินเฟ้อที่เกิดจากความคาดหวัง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่าผู้คนคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันจะดำเนินต่อไปในอนาคต

ประโยชน์ของเงินเฟ้อ

อัตราเงินเฟ้อเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่ดี

อัตราเงินเฟ้อไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ร้ายเสมอไป อัตราเงินเฟ้อในระดับปานกลางมักเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่เติบโตและแข็งแกร่ง มันบ่งชี้ว่าผู้บริโภคกำลังใช้จ่าย ธุรกิจกำลังลงเงินลงทุน และกงล้อเศรษฐกิจกำลังหมุน

อันตรายจากภาวะเงินฝืด

ในอีกฝั่งหนึ่ง ภาวะเงินฝืด (ราคาที่ลดลง) อาจดูเหมือนเป็นประโยชน์ แต่สามารถขัดขวางกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ มันกระตุ้นให้ผู้คนชะลอการใช้จ่ายเพื่อคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงอีก ซึ่งนำไปสู่วงจรอุบาทว์ของอุปสงค์ที่ลดลง การปลดพนักงาน และภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ผลกระทบของเงินเฟ้อ

  • กำลังซื้อ: ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น กำลังซื้อของคนเราจะลดลง สำหรับผู้บริโภค นั่นหมายถึงค่าครองชีพสูงขึ้นเนื่องจากเราต้องจ่ายค่าสินค้าและบริการประเภทเดียวกันในราคาที่แพงขึ้น
  • ความไม่แน่นอน: อัตราเงินเฟ้อที่สูงอาจนำไปสู่ความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลงและประหยัดมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การลดลงของอุปสงค์โดยรวม เนื่องจากผู้ผลิตต่าง ๆ ต้องการลดความเสี่ยง
  • ส่งต่อความมั่งคั่ง: อัตราเงินเฟ้อที่ไม่สามารถคาดเดาได้ อาจทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบลูกหนี้ได้ ตัวอย่างเช่นเงินที่เจ้าหนี้ปล่อยกู้ไปในวันนี้จะมีมูลค่าน้อยลงในอนาคต ทำให้ลูกหนี้จ่ายหนี้น้อยลงเมื่อเปรียบกับมูลค่าความเป็นจริง เหตุการณ์นี้สามารถทำให้ลูกหนี้หมดแรงจูงใจในการออมและอาจทำให้พฤติกรรมการใช้จ่ายเปลี่ยนไป กู้หนี้เกินตัวได้
  • การค้าระหว่างประเทศ: อัตราเงินเฟ้อที่สูงอาจทำให้การส่งสินค้าออกนอกประเทศมีราคาแพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อดุลการค้าและทำให้บัญชีเดินสะพัดแย่ลง

ผลกระทบของเงินเฟ้อต่อการออมและการลงทุน

เงินเฟ้อและการออม

ในสภาวะเงินเฟ้อ ค่าของเงินที่ออมในวันนี้จะน้อยลงในวันพรุ่งนี้ และเพราะเหตุนี้ทำให้หลายละคนแสวงหาการลงทุนที่สามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อและรักษาความมั่งคั่งของตนเองได้

เงินเฟ้อและการลงทุน

อัตราเงินเฟ้อทำหน้าที่เป็นมาตรวัดสำหรับนักลงทุน และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอย่างมาก ตัวอย่างเช่น พันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่จะสูญเสียความน่าสนใจไปอย่างมากในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูง ในขณะที่สินทรัพย์ อย่างอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นอาจช่วยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้ดีกว่า

เงินเฟ้อและตลาดอสังหาริมทรัพย์

ผลกระทบของเงินเฟ้อต่อราคาที่อยู่อาศัย

อัตราเงินเฟ้อมีความสัมพันธ์โดยตรงกับราคาที่อยู่อาศัย ด้วยต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง และราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนของบ้านเพิ่มขึ้นด้วย ราคาขายจึงเพิ่มขึ้น เหตุการณ์นี้อาจส่งผลกระทบที่ดีเจ้าของบ้าน แต่แย่สำหรับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์

การเช่าในสภาวะเงินเฟ้อ

ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้น เจ้าของบ้านอาจส่งต่อค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้กับผู้เช่าผ่านค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น

ผลกระทบของเงินเฟ้อต่อรายได้และค่าจ้าง

มูลค่ารายได้ที่แท้จริงกับรายได้

ในขณะที่รายได้ของคุณ (จำนวนเงินที่ได้รับ) อาจเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่มูลค่ารายได้จริง (รายได้ที่สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอย) อาจลดลง นั่นเป็นเหตุผลที่การขึ้นเงินเดือนเพียงไม่กี่ % อาจไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไหร่

The Wage-Price Spiral

มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า The Wage-Price Spiral ซึ่งคนงานต้องการค่าจ้างที่สูงขึ้นเพื่อรับมือกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้นายจ้างต้องขึ้นราคาสินค้าหรือบริการเพื่อรักษาส่วนต่างของกำไร และนั่นก็เป็นเหตุให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นได้เช่นกัน

การวัดอัตราเงินเฟ้อ

  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): ดัชนีราคาผู้บริโภคใช้วัดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉลี่ยของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคใช้จ่ายในช่วงระยะเวลาหนึ่งเทียบกับปีฐาน
  • ดัชนีราคาขายส่ง (WPI): ดัชนีราคาขายส่งวัดราคาสินค้าขายส่ง ก่อนหักราคาขายปลีกและภาษีขายของช่วงใดช่วงหนึ่งเทียบกับปีฐาน

ขั้นตอนรับมือและจัดการกับเงินเฟ้อ

1) รับมือกับภาวะเงินเฟ้อ

ขั้นตอนแรกคือความเข้าใจ เรียนรู้เกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อว่ามันคืออะไร… เงินเฟ้อ คือ การเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระดับราคาทั่วไปของสินค้าและบริการ ซึ่งส่งผลต่อกำลังการใช้จ่าย การออม การลงทุน และรายได้ของคุณ

2) ติดตามอัตราเงินเฟ้อ

ติดตาม คอยรับข้อมูลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจทางการเงินได้ดีขึ้น สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทันเวลา

3) ใช้จ่ายอย่างรอบคอบ

หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดแต่บางครั้งก็ยากที่สุดในการจัดการกับอัตราเงินเฟ้อคือการปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายของตนเอง ให้ความสำคัญกับความจำเป็นมากกว่าความต้องการ ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป

4) ประเมินกลยุทธ์การออมของคุณอีกครั้ง

ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่กัดเซาะมูลค่าของเงิน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทบทวนกลยุทธ์การออมของคุณใหม่ บัญชีธนาคารที่รับดอกเบี้ยขั้นต่ำอาจไม่ใช่ที่ที่ดีที่สุดในการออมเงินอีกต่อไป

5) การลงทุนที่หลากหลาย

การกระจายการลงทุนของคุณในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ สามารถช่วยป้องกันภาวะเงินเฟ้อได้ แม้ว่าสินทรัพย์บางอย่างอาจให้ผลตอบแทนไม่ดีในช่วงเงินเฟ้อ แต่สินทรัพย์อื่นๆ ก็ยังอาจเติบโตได้

6) การลงทุนในหุ้น

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าหุ้นมีแนวโน้มที่จะทำผลงานได้ดีในระยะยาว แซงหน้าอัตราเงินเฟ้อ บริษัทต่างๆ สามารถปรับราคาให้ทันกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะนำไปสู่ผลกำไรที่สูงขึ้น และส่งผลให้ราคาหุ้นสูงขึ้น

7) การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์

อสังหาริมทรัพย์สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ต้นทุนของวัสดุก่อสร้างและแรงงานสูงขึ้น มูลค่าของทรัพย์สินก็เช่นกัน

8) เพิ่มช่องทางการหารายได้ของคุณ

การเพิ่มรายได้ของคุณ เป็นอีกทางที่จะช่วยต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อได้ ซึ่งอาจหมายถึงการต่อรองขึ้นเงินเดือน หางานเสริม หรือลงทุนในการศึกษาของคุณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ของคุณ

อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกคน ตั้งแต่ผู้บริโภครายบุคคลไปจนถึงรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุด เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากหลายสิ่งหลายอย่าง