เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมเวลาพูดถึงการลงทุนหรือการเก็บออม สินทรัพย์แรกๆ ที่หลายคนนึกถึงจะต้องมี “ทองคำ” อยู่ในลิสต์เสมอ? ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ทองคำก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย ด้วยเสน่ห์ของความสวยงามแวววาวและมูลค่าในตัวเองที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ทำให้การ ลงทุนทอง เป็นเหมือนภาษาสากลของการสร้างความมั่งคั่ง บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมของการลงทุนในทองคำ ตั้งแต่ข้อดีข้อเสีย ประเภทต่างๆ ไปจนถึงคำแนะนำสำหรับมือใหม่ เพื่อให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ
ทำไมต้องลงทุนทอง?
สำหรับใครหลายคนที่กำลังมองหาการเริ่มต้นเก็บเงิน การ ออมทอง ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ก็สามารถทยอยสะสมเป็นเจ้าของทองคำได้ง่ายๆ ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจไปพร้อมกันค่ะว่า ทำไมทองคำถึงเป็นสินทรัพย์ที่ทุกคนควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุน และมีอะไรที่ทำให้มันพิเศษกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ค่ะ
ข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนทอง
การลงทุนทุกอย่างมีสองด้านเสมอค่ะ การลงทุนทองคำก็เช่นกัน เพื่อให้คุณตัดสินใจเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของตัวเองมากที่สุด เรามาดูข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในทองคำกันแบบชัดๆ เลยดีกว่าค่ะ
ข้อดีของการลงทุนทอง
- เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกผันผวนหรือเกิดวิกฤต ทองคำมักจะเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนเชื่อมั่นและเข้าซื้อเก็บไว้ เพราะมูลค่าของทองคำมีแนวโน้มที่จะมั่นคงหรือปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ จึงช่วยป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อได้เป็นอย่างดี
- สภาพคล่องสูง ซื้อง่ายขายคล่อง ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทำให้สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าคุณจะถือทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ ก็สามารถนำไปขายตามร้านทองที่น่าเชื่อถือได้ง่าย
- ช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ต สำหรับนักลงทุนที่มีสินทรัพย์หลากหลาย การแบ่งเงินมาลงทุนทองจะช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีเยี่ยม เพราะราคาทองคำมักจะไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับหุ้นหรือกองทุนรวมเสมอไป ทำให้พอร์ตการลงทุนโดยรวมมีความสมดุลมากขึ้น
- เริ่มต้นง่าย ไม่ต้องใช้เงินก้อนโต ปัจจุบันนี้การออมทองทำได้สะดวกสบายมาก หลายแห่งเปิดให้เริ่มต้นออมได้ด้วยเงินหลักร้อยหรือหลักพันบาท ทำให้คนที่มีงบจำกัดก็สามารถทยอยสะสมทองคำเพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้
ข้อเสียของการลงทุนทอง
- ไม่สร้างกระแสเงินสด (No Cash Flow) การถือทองคำจะไม่มีเงินปันผลเหมือนการลงทุนในหุ้น หรือไม่มีค่าเช่าเหมือนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ผลตอบแทนจากการลงทุนทองจะมาจากกำไรส่วนต่างของราคาซื้อขาย (Capital Gain) ตอนที่เราตัดสินใจขายออกไปเท่านั้น
- มีความผันผวนด้านราคา แม้จะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะยาว แต่ในระยะสั้นราคาทองคำก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน โดยมีปัจจัยภายนอกหลายอย่างที่ส่งผลกระทบ เช่น นโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ หรือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
- มีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ หากคุณเลือกซื้อทองคำแท่งมาเก็บไว้เอง อาจมีต้นทุนเรื่องการเช่าตู้เซฟธนาคารเพื่อความปลอดภัย หรือหากเป็นทองรูปพรรณ ก็จะมีค่ากำเหน็จซึ่งเป็นค่าฝีมือช่างที่ต้องจ่ายเพิ่มจากราคาทองคำ
การทำความเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียเหล่านี้ จะช่วยให้คุณวางแผนและตัดสินใจได้ว่า การลงทุนทองหรือการออมทองนั้น เหมาะสมกับเป้าหมายและสไตล์การลงทุนของคุณหรือไม่ค่ะ
ประเภทของการลงทุนทองคำ
การลงทุนทองคำมีหลายรูปแบบให้เลือกสรร แต่ละแบบก็มีข้อดีและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนที่แตกต่างกันไป ใครที่กำลังสนใจอยาก ลงทุนทอง แต่ยังไม่แน่ใจว่าแบบไหนจะเหมาะกับตัวเองที่สุด ลองมาดูตัวเลือกเหล่านี้กันค่ะ
- ทองคำแท่งและทองรูปพรรณ: เป็นวิธีที่คลาสสิกและจับต้องได้จริง เหมาะสำหรับคนที่ชอบมีสินทรัพย์เก็บไว้กับตัว การซื้อทองคำแท่งจะมีค่ากำเหน็จ (ค่าธรรมเนียมการผลิต) ถูกกว่าทองรูปพรรณ จึงเหมาะกับการลงทุนเพื่อเก็งกำไรมากกว่า แต่ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องการเก็บรักษาให้ปลอดภัยด้วยนะคะ
- การออมทอง: วิธีนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่หรือผู้ที่มีงบไม่มาก เพราะเป็นการทยอยซื้อทองคำสะสมไปเรื่อยๆ ด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ผ่านแอปพลิเคชันหรือร้านทองที่ให้บริการ ทำให้การออมทอง เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบาย ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ก็เป็นเจ้าของทองคำได้
- กองทุนรวมทองคำ (Gold Fund): สำหรับใครที่ไม่ต้องการเก็บทองคำไว้กับตัวเอง การลงทุนผ่านกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เราสามารถซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนที่ไปลงทุนในทองคำอีกทีหนึ่งได้ง่ายๆ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ต่างๆ แถมยังใช้ลดหย่อนภาษีได้ในบางกองทุนด้วย
- สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures): เป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และรับความเสี่ยงได้สูง เพราะเป็นการคาดการณ์ราคาทองคำในอนาคตโดยที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเต็มจำนวน แต่ก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน โดยปกติแล้วจะลงทุนผ่าน Forex Broker ในรูปแบบ CFD
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมราคาทองคำถึงขยับขึ้นลงได้แทบทุกวัน? การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่มีปัจจัยสำคัญหลายอย่างอยู่เบื้องหลัง การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนทอง เพื่อให้สามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลต่อราคาทองคำ สามารถแบ่งได้เป็นปัจจัยจากต่างประเทศและปัจจัยภายในประเทศ ดังนี้
ปัจจัยจากต่างประเทศ (Global Factors)
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD): ราคาทองคำในตลาดโลกนั้นซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น ค่าเงินดอลลาร์จึงมีความสัมพันธ์แบบตรงกันข้ามกับราคาทอง พูดง่ายๆ คือ หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำก็มักจะปรับตัวลดลง และในทางกลับกัน หากเงินดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองคำก็มักจะสูงขึ้น
- อัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน: โดยเฉพาะนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การลงทุนในพันธบัตรหรือการฝากเงินจะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการถือทองคำซึ่งไม่มีดอกเบี้ย จึงอาจทำให้นักลงทุนเทขายทองคำและส่งผลให้ราคาลดลงได้
- อัตราเงินเฟ้อ: ทองคำถูกมองว่าเป็น "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven) ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ดี เมื่อใดที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจนทำให้มูลค่าของเงินสดลดลง นักลงทุนมักจะหันมาซื้อทองคำเพื่อรักษามูลค่าของทรัพย์สินเอาไว้ ส่งผลให้ความต้องการและราคาทองคำสูงขึ้น
- สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลก: ในยามที่โลกเผชิญกับความไม่แน่นอน เช่น สงคราม ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือวิกฤตเศรษฐกิจ นักลงทุนจะขาดความเชื่อมั่นในสกุลเงินและตลาดหุ้น แล้วหันมาลงทุนในทองคำแทน ทำให้ราคาทองคำมักพุ่งสูงขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
ปัจจัยภายในประเทศ (Domestic Factors)
- ค่าเงินบาท (THB): สำหรับนักลงทุนไทย ปัจจัยนี้ส่งผลโดยตรง เพราะราคาทองคำแท่งในประเทศจะอ้างอิงจากราคาทองในตลาดโลกที่แปลงจากดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเงินบาทอีกทอดหนึ่ง ดังนั้น หากเงินบาทอ่อนค่าลง เราจะต้องใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อซื้อทองในปริมาณเท่าเดิม ทำให้ราคาทองในประเทศสูงขึ้น
- อุปสงค์และอุปทานในประเทศ: ความต้องการซื้อทองในประเทศก็มีผลต่อราคาเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน สงกรานต์ หรือช่วงสิ้นปี ที่คนนิยมซื้อทองเป็นของขวัญหรือเพื่อการลงทุน อาจทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยได้
การติดตามข่าวสารและทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมและคาดการณ์ทิศทางของราคาทองได้ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้น ออมทอง หรือเป็นนักลงทุนที่มองหาจังหวะทำกำไร การมีความรู้ติดตัวไว้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้นแน่นอนครับ
ลงทุนทองคำต้องรู้อะไรบ้าง? (ก่อนตัดสินใจ)
การลงทุนในทองคำเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่มองหาการลงทุนที่มั่นคงเพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นเส้นทางสายนี้ มีเรื่องสำคัญบางอย่างที่คุณควรรู้ เพื่อให้การลงทุนทอง ของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและชาญฉลาดที่สุด
1. รู้จักประเภทของการลงทุนทองคำ
การลงทุนทองไม่ได้มีแค่การไปซื้อทองแท่งหรือทองรูปพรรณมาเก็บไว้ที่บ้านเท่านั้น แต่ยังมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความถนัดและเป้าหมายของคุณ:
- ทองคำแท่งและทองรูปพรรณ: เป็นวิธีคลาสสิกที่จับต้องได้จริง แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องการจัดเก็บและมีค่ากำเหน็จ (สำหรับทองรูปพรรณ) ที่ต้องพิจารณา
- กองทุนรวมทองคำ (Gold Fund): เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการเก็บทองคำไว้กับตัวเอง โดยจะเป็นการลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ซื้อขายง่ายเหมือนหุ้นผ่านแอปพลิเคชัน Streaming
- การออมทอง (Gold Savings): เป็นการทยอยสะสมทองคำด้วยเงินจำนวนไม่มาก เริ่มต้นได้ตั้งแต่หลักร้อยหรือหลักพันบาท เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการออมทองอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลายเจ้าที่น่าเชื่อถือ
2. เข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ
ราคาทองคำมีความผันผวนและขึ้นลงได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น:
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ: โดยส่วนใหญ่ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์
- อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ: หากเงินเฟ้อสูง ทองคำมักเป็นสินทรัพย์ที่คนหันมาลงทุนเพื่อรักษามูลค่าของเงิน
- ความต้องการของตลาด: ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมเครื่องประดับและการลงทุน
- สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองโลก: ความไม่แน่นอนต่างๆ มักจะผลักดันให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
3. ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้
แม้ทองคำจะถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาเช่นกัน ควรถามตัวเองว่าคุณพร้อมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน และควรจัดสรรเงินลงทุนในทองคำเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับพอร์ตการลงทุนโดยรวมของคุณ ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดไปที่การลงทุนประเภทเดียว การเตรียมตัวและศึกษาข้อมูลเหล่านี้ให้พร้อม จะช่วยให้คุณเริ่มต้นลงทุนทองได้อย่างมั่นใจและมองเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ
ลงทุนทองคำที่ไหนดี? (ช่องทางการลงทุน)
พอพูดถึงการลงทุนทองหลายคนอาจจะนึกถึงภาพการเดินเข้าไปซื้อทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณที่ร้านทอง แต่ในยุคดิจิทัลแบบนี้ ช่องทางการลงทุนทองคำมีให้เลือกหลากหลายและสะดวกสบายกว่าที่คิดเยอะเลยค่ะ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดออม หรือเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ ก็สามารถเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเองได้ง่ายๆ เรามาดูกันดีกว่าว่ามีช่องทางไหนน่าสนใจบ้าง
1. ซื้อทองคำเก็บไว้เอง (ทองคำแท่ง/ทองรูปพรรณ)
วิธีสุดคลาสสิกที่ทุกคนคุ้นเคย คือการซื้อทองคำจริงจากร้านทองที่น่าเชื่อถือ เป็นการลงทุนที่จับต้องได้และให้ความรู้สึกมั่นคงทางใจ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูงและต้องการถือครองทรัพย์สินในระยะยาว
- เหมาะกับใคร: นักลงทุนระยะยาว, คนที่ต้องการมีทรัพย์สินที่จับต้องได้ไว้ในครอบครอง
- ข้อดี: เป็นทรัพย์สินที่จับต้องได้จริง รู้สึกมั่นคง สามารถใช้เป็นของขวัญหรือมรดกได้
- ข้อควรระวัง: มีความเสี่ยงเรื่องการจัดเก็บและอาจโดนขโมยได้ ทองรูปพรรณจะมีค่ากำเหน็จ ทำให้เวลาขายคืนอาจไม่ได้ราคาเท่าทองคำแท่ง
2. โปรแกรมออมทอง
สำหรับมือใหม่หรือคนที่มีงบจำกัด การออมทองเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ วิธีนี้คือการทยอยซื้อทองคำสะสมไปเรื่อยๆ ด้วยเงินจำนวนไม่มาก อาจจะเริ่มต้นแค่หลักร้อยหรือหลักพันบาทต่อเดือนก็ได้ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งร้านทองและแอปพลิเคชันมากมายที่ให้บริการนี้ ทำให้เราสามารถสร้างวินัยในการออมและเป็นเจ้าของทองคำได้ง่ายขึ้น
- เหมาะกับใคร: มือใหม่หัดลงทุน, คนที่มีงบไม่มาก, คนที่ต้องการออมเงินอย่างมีวินัย
- ข้อดี: ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย, เป็นการทยอยลงทุน (Dollar-Cost Averaging) ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา, สะดวกสบาย สามารถทำผ่านออนไลน์ได้
- ข้อควรระวัง: ควรเลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือและตรวจสอบเงื่อนไขการออมให้ดีก่อนตัดสินใจ
3. ลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำ (Gold Fund)
อีกหนึ่งวิธีที่สะดวกและได้รับความนิยม คือการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ โดยจะมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลให้ กองทุนเหล่านี้มักจะนำเงินไปลงทุนในกองทุนหลักในต่างประเทศ (Master Fund) ที่ลงทุนในทองคำแท่งอีกที เช่น กองทุน SPDR Gold Shares ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก
- เหมาะกับใคร: นักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามตลาด, คนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง และคนที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (หากเป็นกองทุน SSF/RMF)
- ข้อดี: ใช้เงินลงทุนน้อย, มีผู้เชี่ยวชาญบริหารจัดการ, ซื้อขายสะดวกผ่านแอปพลิเคชันของ บลจ. หรือธนาคาร, มีสภาพคล่องสูง
- ข้อควรระวัง: มีค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุน และราคาอาจไม่ได้เคลื่อนไหวตามราคาทองคำแบบเรียลไทม์
4. ลงทุนใน Gold ETFs (Exchange Traded Funds)
Gold ETF มีลักษณะคล้ายกับกองทุนรวมทองคำ แต่จะจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้สะดวกตลอดเวลาที่ตลาดเปิดทำการ การลงทุนแบบนี้จำเป็นต้องมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์หรือบัญชีหุ้นก่อน
- เหมาะกับใคร: นักลงทุนที่คุ้นเคยกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และต้องการความยืดหยุ่นในการซื้อขายระหว่างวัน
- ข้อดี: มีสภาพคล่องสูงมาก ซื้อขายได้เรียลไทม์เหมือนหุ้น, มีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนรวมส่วนใหญ่
- ข้อควรระวัง: ต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และมีความผันผวนของราคาตามสภาวะตลาดในระหว่างวัน
แต่ละวิธีก็มีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป การเลือกช่องทางลงทุนทองที่ดีที่สุดจึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน, ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ลองพิจารณาข้อมูลเหล่านี้เพื่อหาคำตอบที่ "ใช่" ที่สุดสำหรับคุณนะคะ
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทองคำ
พอพูดถึงเรื่องภาษี หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวและน่าปวดหัว แต่สำหรับการลงทุนทองแล้ว จริงๆ ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดเลยค่ะ โดยหลักๆ แล้วจะมีภาษีที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 ส่วนที่เราควรรู้จัก ดังนี้ค่ะ
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
กำไรที่ได้จากการขายทอง ไม่ว่าจะเป็นการขายทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ หรือการออมทองผ่านแอปพลิเคชัน จะถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ประเภทหนึ่งค่ะ ซึ่งเรามีหน้าที่ต้องนำกำไรส่วนนี้ไปรวมกับรายได้อื่นๆ ของเรา เช่น เงินเดือน เพื่อยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด. 90/91) แต่ข่าวดีก็คือ หากเรามีรายได้รวมทั้งปีไม่เกิน 150,000 บาท ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีในส่วนนี้ไปค่ะ
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
เรื่องนี้จะแตกต่างกันระหว่างทองคำแท่งและทองรูปพรรณค่ะ
- ทองคำแท่ง: สำหรับนักลงทุนรายย่อยอย่างเรา การซื้อขายทองคำแท่ง (ความบริสุทธิ์ 96.5%) จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทำให้เราสามารถซื้อขายได้เต็มมูลค่าโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีส่วนนี้เลย
- ทองรูปพรรณ: ราคาขายทองรูปพรรณที่เราเห็นตามหน้าร้านนั้น จริงๆ แล้วได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มไว้แล้ว แต่จะคำนวณจากเฉพาะส่วนต่างของราคาขายและราคารับซื้อคืน (หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าค่ากำเหน็จ) ไม่ได้คิดจากราคาทองทั้งจำนวนค่ะ
สรุปง่ายๆ คือ หากคุณเป็นนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายทองทำกำไร อย่าลืมนำกำไรที่ได้ไปคำนวณรวมกับรายได้อื่นเพื่อยื่นภาษีประจำปีนะคะ แต่ถ้าเน้นการลงทุนทองในรูปแบบทองคำแท่ง ก็จะสบายใจได้เลยเพราะไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มค่ะ
สรุปและคำแนะนำสำหรับมือใหม่
มาถึงตรงนี้ หวังว่าทุกคนจะเห็นภาพรวมและเข้าใจโลกของการลงทุนทองมากขึ้นแล้วนะคะ ทองคำไม่ใช่แค่เครื่องประดับสวยงาม แต่เป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงและเป็นที่ยอมรับทั่วโลกที่สามารถช่วยสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้ สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นเส้นทางนี้ เรามีคำแนะนำง่ายๆ มาฝากกันค่ะ หัวใจสำคัญของการ ลงทุนทอง สำหรับมือใหม่คือการเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ลองเริ่มจากการ ออมทอง กับผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นการทยอยสะสมทองคำด้วยเงินจำนวนน้อยๆ เป็นประจำ วิธีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างวินัยในการออม แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้อีกด้วย ก่อนจะเริ่มลงทุน ลองถามตัวเองก่อนว่าเป้าหมายของเราคืออะไร เช่น เพื่อเก็บเงินเกษียณ, เพื่อเป็นหลักประกัน, หรือเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณเลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายขึ้น และอย่าลืมหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ เพราะปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อราคาทองคำโดยตรง สุดท้ายนี้ การลงทุนทอง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่ง อย่าลืมกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์อื่นๆ ด้วยนะคะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการลงมือทำ เริ่มต้นก้าวแรกตั้งแต่วันนี้ ค่อยๆ เรียนรู้และเติบโตไปกับพอร์ตของคุณ แล้วคุณจะค้นพบว่าการสร้างความมั่นคงทางการเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยค่ะ