หลายคนอาจเคยมีคำถามคาใจว่า บัตรเครดิตที่เราพกติดตัวไว้ใช้รูดซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ นั้น แท้จริงแล้วสามารถใช้กดเงินสดออกมาในยามฉุกเฉินได้หรือไม่ คำตอบคือ "ได้" แต่ก็มาพร้อมกับเงื่อนไข ค่าธรรมเนียม และอัตราดอกเบี้ยที่ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนตัดสินใจใช้บริการนี้ บทความนี้จะมาไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตกดเงินสด เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากบัตรในมือได้อย่างชาญฉลาดและคุ้มค่าที่สุด
ไขข้อสงสัย: ตกลงแล้วบัตรเครดิตกดเงินสดได้จริงไหม?
เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า บัตรเครดิต ที่เราใช้รูดซื้อสินค้าและบริการกันอยู่เป็นประจำนั้น สามารถใช้กดเงินสดออกมาเป็นเงินก้อนในยามฉุกเฉินได้หรือไม่? คำตอบคือ “ได้จริง” แต่มีเงื่อนไขและข้อควรรู้ที่สำคัญซ่อนอยู่
การกดเงินสดจากบัตรเครดิตนั้นเรียกว่า “การเบิกเงินสดล่วงหน้า” (Cash Advance) ซึ่งเป็นบริการที่สถาบันการเงินเจ้าของบัตรมอบให้ผู้ถือบัตรสามารถเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ได้ โดยใช้วงเงินเดียวกับการรูดซื้อของ แต่การใช้งานจะแตกต่างจากการใช้บัตรกดเงินสดโดยตรง
สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนตัดสินใจใช้บริการนี้คือ:
- มีค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสดล่วงหน้า: โดยทั่วไปจะคิดอยู่ที่ประมาณ 3% ของยอดเงินที่เบิกถอน และยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ซึ่งหมายความว่าทันทีที่คุณกดเงินออกมา คุณจะต้องเสียค่าธรรมเนียมนี้ทันที
- ดอกเบี้ยจะเริ่มคิดตั้งแต่วันแรกที่กด: แตกต่างจากการรูดซื้อสินค้าที่จะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย การเบิกเงินสดล่วงหน้าจะถูกคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณได้รับเงิน และมักจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าการใช้จ่ายปกติ
- วงเงินที่กดได้อาจไม่เต็มจำนวน: โดยส่วนใหญ่แล้ว ธนาคารจะกำหนดวงเงินสำหรับการเบิกเงินสดไว้ ซึ่งอาจจะไม่เท่ากับวงเงินทั้งหมดที่คุณมีในบัตร
ดังนั้น แม้ว่าบัตรเครดิตจะสามารถกดเงินสดออกมาใช้ได้จริง แต่ก็เหมาะสำหรับกรณีฉุกเฉินที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะมีค่าใช้จ่ายแฝงที่ค่อนข้างสูง หากคุณต้องการเงินสดบ่อยครั้ง การพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นอย่าง บัตรกดเงินสด อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
อยากใช้บัตรเครดิตกดเงินสด ต้องทำยังไงบ้าง?
เมื่อจำเป็นต้องใช้เงินด่วน การกดเงินสดจากบัตรเครดิตก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด ปัจจุบันเราสามารถเบิกเงินสดล่วงหน้าจากบัตรเครดิตได้หลักๆ 2 วิธี ดังนี้
1. กดเงินสดจากตู้ ATM
วิธีนี้เป็นวิธีมาตรฐานที่หลายคนคุ้นเคย คล้ายกับการใช้บัตรเดบิตหรือบัตรกดเงินสด แต่มีขั้นตอนที่ต้องเตรียมตัวเล็กน้อย
- ต้องมีรหัส ATM (PIN 4 หลัก): สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณต้องมี "รหัสกดเงินสด" สำหรับบัตรเครดิตใบนั้นๆ ก่อน ซึ่งโดยปกติแล้วธนาคารจะไม่ได้ให้มาพร้อมกับบัตร เราต้องแจ้งความประสงค์เพื่อขอรหัสผ่านช่องทางต่างๆ เช่น แอปพลิเคชันของธนาคาร หรือติดต่อคอลเซ็นเตอร์
- มองหาตู้ ATM: คุณสามารถใช้บัตรเครดิตกดเงินสดได้จากตู้ ATM ของทุกธนาคารที่มีสัญลักษณ์ Visa, Mastercard, หรือ JCB ตรงตามหน้าบัตรของคุณ
- ทำตามขั้นตอนบนหน้าจอ: เมื่อสอดบัตรแล้ว ให้เลือกเมนู "ถอนเงิน" หรือ "บริการเงินสด" และเลือกประเภทบัญชีเป็น "บัตรเครดิต" จากนั้นใส่จำนวนเงินที่ต้องการและกดยืนยัน
2. สั่งเงินสดผ่านแอปพลิเคชัน
เป็นวิธีที่ทันสมัยและสะดวกสบายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องเดินหาตู้ ATM ให้ยุ่งยาก
- เข้าสู่แอปพลิเคชันของธนาคาร: ล็อกอินเข้าสู่โมบายแบงก์กิ้งของสถาบันการเงินเจ้าของบัตร
- มองหาเมนูเบิกเงินสด: โดยทั่วไปจะใช้ชื่อเมนูว่า "เงินสดสั่งได้", "เบิกถอนเงินสด" หรือ "Cash on Demand"
- ระบุจำนวนเงินและบัญชีผู้รับ: กรอกจำนวนเงินที่ต้องการเบิกถอน จากนั้นเลือกบัญชีออมทรัพย์หรือบัญชีกระแสรายวันของธนาคารเดียวกันเพื่อรับเงิน
- ยืนยันรายการ: หลังจากตรวจสอบข้อมูลและยืนยันทำรายการ เงินสดจากวงเงินบัตรเครดิตจะถูกโอนเข้าบัญชีของคุณทันที จากนั้นคุณก็สามารถใช้บัตรเดบิตไปกดเงินสดจากตู้ ATM ได้ตามปกติ
ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน อย่าลืมตรวจสอบวงเงินคงเหลือและเงื่อนไขการใช้งานก่อนทำรายการนะคะ เพราะการกดเงินสดจากบัตรเครดิตจะมีค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มคำนวณทันทีตั้งแต่วันที่ทำรายการค่ะ
เปิดตำราค่าใช้จ่าย: ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่ต้องรู้ก่อนกด
เคยสงสัยไหมว่าเวลาต้องการเงินสดฉุกเฉิน การใช้ บัตรเครดิต ไปกดเงินสดนั้นสะดวกสบายก็จริง แต่เคยรู้ค่าใช้จ่ายที่แฝงอยู่เบื้องหลังหรือไม่? ก่อนจะตัดสินใจกดเงิน เรามาทำความรู้จักกับค่าใช้จ่ายสองส่วนหลักๆ ที่จะตามมากันดีกว่า เพื่อให้เราไม่ตกใจกับบิลสิ้นเดือน
อย่างแรกเลยคือ "ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า" ซึ่งปกติแล้วจะคิดอยู่ที่ 3% ของจำนวนเงินที่คุณกดออกมา และยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% อีกด้วย สมมติว่าคุณกดเงินสด 10,000 บาท คุณจะต้องเสียค่าธรรมเนียมทันที 300 บาท (ยังไม่รวม VAT) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทันที ณ วันที่ทำรายการ
อย่างที่สองที่สำคัญไม่แพ้กันคือ "อัตราดอกเบี้ย" ที่หลายคนอาจเข้าใจผิด จุดที่ต้องระวังคือ ดอกเบี้ยสำหรับเงินสดที่กดออกมานั้นจะเริ่มคิดตั้งแต่วันแรกที่คุณทำรายการเลยทันที! ไม่เหมือนกับการใช้ บัตรเครดิต รูดซื้อสินค้าที่จะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย โดยอัตราดอกเบี้ยมักจะสูงกว่าการใช้จ่ายปกติ และอาจเทียบเท่ากับ บัตรกดเงินสด ซึ่งมักจะอยู่ในอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนด
ดังนั้น ก่อนจะใช้บัตรเครดิตเป็นทางออกสำหรับเงินสดฉุกเฉิน ลองหยุดคำนวณสักนิดว่าค่าใช้จ่ายที่ตามมานั้นคุ้มค่าหรือไม่ การวางแผนที่ดีจะช่วยให้คุณใช้บัตรเครดิตได้อย่างชาญฉลาดและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น
เทียบให้ชัด! บัตรเครดิต vs บัตรกดเงินสด แบบไหนที่ใช่สำหรับเรา
เคยสงสัยกันไหมว่า บัตรเครดิต ที่เราใช้รูดซื้อของกันอยู่ กับ บัตรกดเงินสด หน้าตาคล้ายๆ กันนั้น จริงๆ แล้วต่างกันอย่างไร และเราควรเลือกใช้ใบไหนในสถานการณ์ไหนดี? แม้ทั้งสองใบจะเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องเหมือนกัน แต่ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน มาเปรียบเทียบกันแบบหมัดต่อหมัดเพื่อหาคำตอบที่ใช่สำหรับคุณกันดีกว่า
หัวใจสำคัญที่แตกต่าง: การใช้งานและดอกเบี้ย
- บัตรเครดิต: ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้จ่ายแทนเงินสดเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการรูดซื้อสินค้าตามร้านค้า ชำระค่าบริการ หรือช้อปปิ้งออนไลน์ จุดเด่นที่สุดคือ "ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย" (Grace Period) โดยปกติประมาณ 45-55 วัน หากคุณชำระเงินคืนเต็มจำนวนภายในวันที่กำหนด คุณก็จะไม่เสียดอกเบี้ยแม้แต่บาทเดียว แต่หากคุณเลือกกดเงินสดจากบัตรเครดิต (Cash Advance) ดอกเบี้ยจะเริ่มคิดทันทีตั้งแต่วันที่กดและมักมีค่าธรรมเนียมการกดอีกด้วย
- บัตรกดเงินสด: ตามชื่อเลยครับ บัตรใบนี้มีไว้เพื่อเป็นวงเงินสดสำรองยามฉุกเฉินโดยเฉพาะ เมื่อคุณต้องการเงินด่วนก็สามารถนำบัตรไปกดเงินสดจากตู้ ATM ได้ทันที แต่ข้อควรจำที่สำคัญที่สุดคือ ดอกเบี้ยจะเริ่มคำนวณตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณกดเงินออกมา และคิดเป็นรายวันไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะชำระคืนทั้งหมด ไม่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยเหมือนบัตรเครดิต
ตารางเทียบชัดๆ บัตรเครดิต vs บัตรกดเงินสด
คุณสมบัติ | บัตรเครดิต | บัตรกดเงินสด |
---|---|---|
วัตถุประสงค์หลัก | ใช้จ่ายแทนเงินสด, รูดซื้อสินค้า/บริการ | กดเงินสดสำรองยามฉุกเฉิน |
การคิดดอกเบี้ย | มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย (เมื่อรูดซื้อสินค้า) | คิดดอกเบี้ยทันทีที่กดเงิน และคิดเป็นรายวัน |
สิทธิประโยชน์ | คะแนนสะสม, เครดิตเงินคืน, ส่วนลดร้านค้า, ผ่อน 0% | ส่วนใหญ่มักไม่มี เน้นให้วงเงินสดเป็นหลัก |
ค่าธรรมเนียม | อาจมีค่าธรรมเนียมรายปี, ค่าธรรมเนียมกดเงินสด 3% | ส่วนใหญ่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมการกดเงิน |
เหมาะกับใคร | ผู้ที่วางแผนการใช้จ่าย, ต้องการความสะดวกสบายและสิทธิประโยชน์จากการช้อปปิ้ง | ผู้ที่ต้องการเงินสดสำรองไว้ใช้ในกรณีเร่งด่วนและไม่คาดฝัน |
สรุป: เลือกใบไหนดี?
คำตอบขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และวัตถุประสงค์ของคุณ หากคุณเป็นคนที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้จ่าย ชื่นชอบโปรโมชัน ส่วนลด และสามารถบริหารจัดการชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด บัตรเครดิต คือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณอย่างแน่นอน
แต่หากคุณมองหา "กระเป๋าเงินสำรอง" ที่พร้อมให้คุณเบิกเงินสดออกมาใช้ได้ทันทีในยามจำเป็นจริงๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน หรือค่าซ่อมรถกะทันหัน บัตรกดเงินสด ก็อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่ต้องมาพร้อมกับวินัยทางการเงินที่สูงและต้องรีบชำระคืนให้เร็วที่สุดเพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่เดินทุกวันนั่นเอง
กรณีไหนบ้างที่ควรยอมจ่ายดอกเบี้ยเพื่อกดเงินสดจากบัตรเครดิต
แม้ว่าการกดเงินสดจากบัตรเครดิตมักถูกมองว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายเพราะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงและค่าธรรมเนียม แต่ในความเป็นจริง มีบางสถานการณ์ฉุกเฉินที่การยอมจ่ายดอกเบี้ยอาจเป็นทางออกที่ดีและจำเป็นที่สุด นี่คือกรณีที่คุณอาจต้องพิจารณาใช้บริการนี้
- เหตุฉุกเฉินทางการแพทย์: เมื่อคุณหรือคนในครอบครัวต้องการการรักษาด่วน แต่โรงพยาบาลหรือคลินิกต้องการเงินสดเพื่อวางมัดจำหรือชำระค่ารักษาเบื้องต้น การกดเงินสดจากบัตรเครดิตสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งสำคัญกว่าต้นทุนดอกเบี้ยที่ตามมา
- ค่าซ่อมแซมเร่งด่วน: ลองนึกภาพรถเสียกลางทาง หรือท่อน้ำแตกในบ้านซึ่งต้องซ่อมทันที ร้านซ่อมบางแห่งอาจรับเฉพาะเงินสด การใช้บัตรเครดิตกดเงินสดออกมาจ่ายก่อน จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและป้องกันความเสียหายที่อาจบานปลายได้
- เมื่ออยู่ต่างประเทศหรือต่างจังหวัด: หากคุณทำกระเป๋าเงินหายหรือบัตรเดบิตใช้งานไม่ได้ การมีบัตรเครดิตที่สามารถกดเงินสดได้จะเป็นเหมือน "แผนสำรอง" ที่ช่วยให้คุณมีเงินสดใช้จ่ายสำหรับค่าอาหาร ค่าเดินทาง หรือค่าที่พักที่จำเป็นระหว่างรอความช่วยเหลือ
- เมื่อต้องชำระหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงกว่า: ในบางกรณี เช่น หากคุณต้องการเงินสดเพื่อไปจ่ายหนี้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยโหดกว่า การกดเงินสดจากบัตรเครดิตมาปิดหนี้นั้นก่อนอาจเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลกว่าในระยะสั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การกดเงินสดจากบัตรเครดิตควรทำเมื่อจำเป็นจริงๆ และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ควรรีบนำเงินไปชำระคืนโดยเร็วที่สุดเพื่อลดภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น อย่าลืมว่าบริการนี้แตกต่างจาก บัตรกดเงินสด ที่ออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่ในยามฉุกเฉิน บัตรเครดิต ก็สามารถเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยคุณได้เช่นกัน
เคล็ดลับใช้บัตรเครดิตกดเงินสดอย่างชาญฉลาด ไม่ให้หนี้บานปลาย
การมี บัตรเครดิต สักใบในกระเป๋าช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นมาก แต่ในยามฉุกเฉินที่ต้องการเงินสดด่วน หลายคนอาจนึกถึงฟังก์ชัน “กดเงินสดจากบัตร” ซึ่งแม้จะสะดวก แต่ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของหนี้ก้อนโตได้หากใช้อย่างไม่ระวัง วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้คุณใช้บริการนี้ได้อย่างชาญฉลาดและไม่ต้องมานั่งกุมขมับทีหลัง
สิ่งแรกที่ต้องจำขึ้นใจคือ การกดเงินสดจาก บัตรเครดิต มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างจากการรูดซื้อของทั่วไปอย่างสิ้นเชิง โดยปกติแล้วจะมีค่าธรรมเนียมการกดเงินสดประมาณ 3% ของยอดที่กด และที่สำคัญคือจะเริ่มคิดดอกเบี้ยทันทีตั้งแต่วันแรกที่กดเงินออกมา โดยไม่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยเหมือนการใช้จ่ายปกติ
ดังนั้น เพื่อให้คุณบริหารจัดการการเงินได้อย่างสบายใจหายห่วง ควรทำตามเคล็ดลับง่ายๆ ต่อไปนี้:
- ใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น: ให้บริการนี้เป็นทางเลือกสุดท้ายในสถานการณ์ฉุกเฉินจริงๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลด่วน ไม่ใช่สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
- กดเท่าที่จำเป็น: ก่อนกดเงินให้คำนวณยอดที่ต้องการใช้จริงๆ เพื่อลดภาระค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่จะตามมา
- รีบคืนให้เร็วที่สุด: เนื่องจากดอกเบี้ยเดินเป็นรายวัน ยิ่งคุณชำระคืนได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งประหยัดเงินได้มากขึ้นเท่านั้น อย่ารอจ่ายแค่ขั้นต่ำตามรอบบิล
- เปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น: หากคุณรู้ตัวว่าอาจต้องการใช้เงินสดบ่อยครั้ง การพิจารณาทำ บัตรกดเงินสด โดยเฉพาะอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะมักจะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการกดเงินจากบัตรเครดิต
เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถใช้ประโยชน์จาก บัตรเครดิต ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ โดยไม่ต้องกังวลว่าหนี้สินจะบานปลายจนควบคุมไม่อยู่
สรุปแล้ว การใช้บัตรเครดิตกดเงินสดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดฝัน แต่ก็เปรียบเสมือนดาบสองคมที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง หัวใจสำคัญคือการตระหนักถึงค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นทันที ใช้เท่าที่จำเป็น และรีบชำระคืนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้บัตรเครดิตเป็นผู้ช่วยทางการเงินที่ดี แทนที่จะสร้างภาระหนี้สินในระยะยาว